Saturday, August 10, 2013

10 ภาษากายที่มีความหมายต่างกันทั่วโลก


1. การชูนิ้วชี้และนิ้วก้อยแบบขาร็อค




   คนไทยอาจจะเคยเห็นการทำมือเป็นสัญลักษณ์แบบนี้เวลามีการแสดงคอนเสิร์ตเพลงร็อค โดยนำมาจากวัฒนธรรมเพลงแนวเฮวี่เมทัลของอเมริกัน   แต่ในประเทศบราซิล โคลัมเบียอิตาลี โปรตุเกสและสเปนถือว่าเป็นสัญลักษณ์บอกให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่ากำลังถูกคนรักนอกใจหรือสวมเขานั่นเอง

      ที่ไทยถ้าทำสัญลักษณ์เขาควายก็มักทำเป็นนิ้วโป้งกับนิ้วก้อย หรือชูนิ้วชี้ทั้งสองข้างไว้บนหัว และในไทยก็ใช้คำว่าถูกสวมเขาแสดงถึงการถูกนอกใจด้วยเช่นกัน และเชื่อหรือไม่ ว่าแม้แต่ในประเทศแถบอาหรับก็ใช้คำว่าสวมเขาเช่นกัน แต่จะกางมือทั้งสองข้างไว้ข้างหูแทน เพื่อแสดงถึงเขากวางที่มีหลายกิ่ง อู้ววว แรงกว่าของเราอีก


2. การกำมือและชูนิ้วโป้งขึ้นแบบกดไลค์



   ความหมายของเราคือดีเยี่ยม ซึ่งเหมือนกับประเทศอังกฤษ เกาหลีใต้ และแอฟริกาใต้ แต่อีกหลายประเทศในโลก ไม่ได้ใช้ในความหมายนี้ สำหรับประเทศฝรั่งเศส โปแลนด์และสวิตเซอร์แลนด์ การชูนิ้วโป้งนิ้วเดียวหมายถึงเลข 1

     แต่สำหรับประเทศกรีซ รัสเซีย ประเทศแถบละตินอเมริกาและแอฟริกาตะวันตก การทำสัญลักษณ์นี้เป็นการสบประมาทที่ร้ายแรงเหมือนกับการชูนิ้วกลาง  โดยมีความหมายว่าจะยัด...เข้าประตูหลังของอีกฝ่าย ถ้าเผลอทำมีสิทธิโดนรุมตื๊บได้เลย T^T


3. การใช้มือซ้าย




     หมายถึงการหยิบจับสิ่งของ ส่ง-รับของกับผู้อื่นโดยใช้มือซ้ายค่ะ ของเราจะใช้มือไหนทำอะไรก็ขึ้นกับความถนัดและความสะดวกใช่ไหม  แต่ถ้าไปกลุ่มประเทศมุสลิมหลายๆ ประเทศ การใช้มือซ้ายยื่นรับสิ่งของโดยเฉพาะอาหาร หรือการจับมือเชคแฮนด์ด้วยมือซ้ายเป็นเรื่องที่ไม่สมควรที่สุดเลยค่ะ เพราะเขามองว่ามือขวาใช้ทำกิจกรรมทั่วไป แต่มือซ้ายใช้ทำความสะอาดร่างกายเท่านั้น โดยเฉพาะหลังทำภารกิจเสร็จในห้องน้ำ ฉะนั้นเมื่อใช้มือซ้ายสัมผัสผู้อื่น หรือสิ่งของระหว่างกันและกันจึงถือว่าสกปรกมาก ฉะนั้นต้องเก็บมือซ้ายไว้ให้ดีตลอดการเดินทางเลย แต่ก็น่าสงสารคนถนัดซ้ายเนอะ


4. การทำสัญลักษณ์ OK



   แม้วัฒนธรรมอเมริกันที่แพร่หลายจะทำให้การเอาปลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้มาชนกันจนเกิดวงกลม และปล่อยสามนิ้วที่เหลือให้กางออกจะแปลว่าโอเค ตกลง หรือดี แต่สำหรับบางประเทศการทำมือแบบนี้มีความหมายอื่นค่ะ เช่น บางประเทศในทวีปยุโรปแปลว่าเลข 3 ส่วนในจีนแปลว่าเลข 7

    ส่วนที่ประเทศบราซิลและประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนจะเป็นคำด่าเทียบเท่ากับ Asshole (เพราะมองว่าวงกลมเป็นสัญลักษณ์ของทวารหนัก) ในเยอรมนีหลายคนใช้แปลว่าเกย์ และยังมีอีกหลายประเทศในแถบยุโรปตะวันออกที่ใช้ด่าว่าคนนั้นไม่มีค่า (เป็นศูนย์) หรือด่าตรงๆ เลยว่าอ้วน ตัวกลมไปหมด ฉะนั้นจะโอเคกันง่ายๆ เหมือนปกติไม่ได้แล้ว


5. การกางเฉพาะนิ้วโป้งและนิ้วชี้เหมือนตัว L



    จะให้นิ้วโป้งอยู่แนวนอนเหมือนตัว หรือนิ้วโป้งอยู่แนวตั้งแบบ “ถูกต้องนะคร้าบ” ก็ได้ บ้านเราใช้เวลาชี้บางอย่าง หรือบางทีอาจจะทำมือแบบนี้แล้วคว่ำมือลงเพื่อถ่ายรูปให้ดูฮิพฮอพก็ได้ แต่ในสหรัฐอเมริกาและประเทศที่ได้รับอิทธิพลอเมริกันจะมองว่า มาจาก Loser (คนแพ้) และใช้เป็นสัญลักษณ์ว่าขี้แพ้ ส่วนในจีนหมายถึงเลข 8 และในประเทศเบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์และลิกเตนสไตน์จะแปลว่าเลข 2 (ทีนี้คงนับเลขกันมึนเลย)

  สำหรับความหมายแง่ลบของการทำมือแบบนี้พบในประเทศอิตาลีและพื้นที่ข้างเคียง แปลว่าไม่ดี หรือแย่มาก


6. การกางนิ้วชี้และนิ้วกลางทำเป็นรูปตัว V



  นี่เป็นท่าประกอบการถ่ายรูปยอดฮิตของเด็กไทย จะไปไหนก็ขอชูสองนิ้วไว้ก่อน ไม่ได้มีความหมายพิเศษแค่ “น่ารัก” ถ้ากางเฉพาะนิ้วชี้และนิ้วกลางและหันฝ่ามือออกจากตัว สหรัฐอเมริกาและประเทศที่รับอิทธิพลจะมองว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ (Peace Sign) หรือสัญลักษณ์แห่งชัยชนะเพราะเหมือนตัว ที่มาจาก Victory (ชัยชนะ)


   แต่ถ้าหันฝ่ามือเข้าหาตัวขณะทำสัญลักษณ์นี้ แม้ฝั่งอเมริกาจะไม่มีความแตกต่าง และออกจะดูเท่ด้วยซ้ำไป แต่สำหรับสหราชอาณาจักร ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์แล้ว ถือว่าเป็นคำด่าระดับชูนิ้วกลางเลยค่ะ ช่วงแรกๆ ที่ท่านี้ยังไม่ดัง คนอเมริกันที่ไปอังกฤษมักจะสั่งเบียร์สองแก้วโดยชูนิ้วในลักษณะนี้ให้ ทำให้โดนคนอังกฤษซ้อมและโยนออกมาจากบาร์หลายคดีเลยทีเดียว ปัจจุบันท่านี้ถือว่าดังสุดๆ แล้ว ทำให้วัยรุ่นอังกฤษเริ่มใช้ในฐานะสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ แต่เพื่อความสบายใจแก่ผู้พบเห็นในประเทศจึงมักกางนิ้วโป้งออกมาด้วยให้เป็น นิ้วแทนค่ะ ส่วนที่อิตาลีนั้นชูเฉยๆ ยังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ากางนิ้วโดยให้จมูกอยู่ตรงกลางด้วยแล้วจะหมายถึงช่องคลอดและเป็นคำด่าที่ร้ายแรง


   ส่วนเรื่องที่แถบเอเชียชอบใช้ถ่ายรูปโดยไม่มีความหมายอะไรนั้น ตอนพี่ไปอเมริกาก็ถูกสัมภาษณ์เรื่องนี้ด้วยพร้อมกับเด็กไต้หวันและฟิลิปปินส์ และคนสัมภาษณ์ยังตั้งข้อสังเกตถึงขนาดว่าบางประเทศชูมือ บางประเทศมือเดียว บางประเทศไว้ติดกับใบหน้าแต่บางที่นิยมชูสุดแขนมาข้างหน้าหรือเหนือศีรษะ ซึ่งพวกเราก็งงมาก เพราะทุกคนตอบว่าแล้วแต่อารมณ์และสถานการณ์ที่ถ่ายว่าแบบไหนจะสวยกว่า ไม่ได้จริงจังว่าแต่ละท่าสื่อถึงอะไร สรุปแล้วเด็กเอเชียทุกคนตอบว่ามันน่ารักเฉยๆ ไม่มีอะไรลึกซึ้ง555 คนสัมภาษณ์เหวอเลย


7. การหงายฝ่ามือและกระดิกนิ้วชี้เรียก





  เรามักเห็นในภาพยนตร์ฝรั่งว่าถ้าสาวสวยกระดิกนิ้วเรียกในลักษณะนี้แล้วมักเป็นการเชิญชวนและยั่วยวนอีกฝ่ายให้ตามไป หรือเป็นการส่งสัญญาณให้เข้ามาใกล้ๆ เพื่อกระซิบบอกความลับบางอย่าง แต่สำหรับชาวฟิลิปปินส์นั้น ท่าทางนี้ใช้เรียกน้องหมาเท่านั้นค่ะ ฉะนั้นถ้าเผลอไปทำใส่ใครจะเหมือนไปว่าเขาเป็นสุนัข และอีกฝ่ายอาจจะโกรธถึงขั้นหักนิ้วชี้เราได้เลย


8. การชูนิ้วชี้




   การชูนิ้วชี้ตั้งขึ้นเพียงนิ้วเดียว เรามักหมายถึงเลข การบอกอีกฝ่ายให้หยุด หรือรอสักครู่ แต่ถ้าไปทำท่านี้ในประเทศแถบอาหรับหรือแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจะมีความหมายเท่ากับการชูนิ้วกลางนิ้วเดียวให้อีกฝ่าย


9. การดีดนิ้ว




   การดีดนิ้วดังเป๊าะนั้น ถ้าดีด ครั้ง คนอเมริกาและอังกฤษจะสื่อว่านึกอะไรออกแล้ว หรือมีไอเดียใหม่ๆ ขึ้นมาในหัว ส่วนการดีดเรื่อยๆ ไปมาหมายถึงกำลังพยายามนึกบางอย่างให้ออกอยู่ แต่สำหรับประเทศแถบละตินอเมริกานั้นหมายความว่าให้คนข้างหน้าช่วยรีบเดินเร็วๆ หน่อย แต่สำหรับประเทศส่วนใหญ่ในโลกการดีดนิ้วใส่หน้าคนอื่นเป็นกิริยาที่หยาบคายมากค่ะ (แต่บางประเทศก็หมายถึงดึงความสนใจอีกฝ่ายให้กลับมา)


10. การแบมือทั้งห้านิ้วโดนหันฝ่ามือออก




   โดยทั่วไปแล้วถ้าเรายื่นมือออกไปโดยกางนิ้วทั้งห้าออกและหันฝ่ามือใส่อีกฝ่ายจะเป็นการบอกให้หยุด หรือตามธรรมเนียมอเมริกันคือการแสดงความไม่สนใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูดและให้อีกฝ่าย“พูดกับมือ” แทน ซึ่งก็ค่อนข้างจะแสดงความไร้มารยาทแล้วใช่มั้ยคะ แต่ที่ประเทศกรีซแรงกว่านั้นอีกค่ะ เพราะมันหมายถึงให้ไปตายซะ
















Sunday, August 4, 2013

10 อาชีพสุดเจ๋ง ที่จะได้ทำงานใน "สหประชาชาติ(UN)"


1. ล่าม (Intrepreter)

 
     เป็นอีกอาชีพในฝันของหลายๆ คนโดยเฉพาะเด็กสายศิลป์ ยิ่งหากได้เป็นล่ามในองค์กรบิ๊กๆ ระดับประเทศหรือระดับโลกแบบนี้ ยิ่งดูดีมากๆ เลยเนาะ ซึ่งภาษาหลักๆ ที่ใช้ใน UN คือภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส หากน้องๆ ได้ 2 ภาษานี้ + ภาษาอื่นอีก 1 ภาษาก็จะเป๊ะมากๆ โดยคนที่เป็นล่ามนั้น ต้องสามารถใช้ทั้งภาษาต้นทางและปลายทางได้ในระดับดีมากค่ะ นอกจากนี้การจะเป็นล่ามใน UN ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องผ่านด่านทดสอบข้อสอบการแปลของทาง UN โดยเฉพาะอีกด้วยล่ะ

     หน้าที่งานหลักๆ คือ ต้องเป็นล่ามในการประชุมค่ะ ปกติสัปดาห์นึงก็จะมีการประชุมประมาณ 7-8 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 3 ชั่วโมง ล่ามก็ต้องมีหน้าที่แปลในที่ประชุม หรือหากมีอีเวนท์พิเศษอื่นๆ ก็ต้องไปทำหน้าที่แปลเช่นเดียวกันค่ะ และที่สำคัญ เค้าจะรับเฉพาะคนที่มีประสบการณ์เป็นล่ามจากองค์กรใหญ่ๆ มาก่อน มักไม่ค่อยรับเด็กจบใหม่เท่าไหร่


2. ผู้ตรวจสอบ (Reviser)

     อะไรคือผู้ตรวจสอบ? ตรวจสอบอะไร? งานของตำแหน่ง Reviser นั้นคือต้องดูแลและตรวจทานการแปลของคนที่เป็นล่ามอีกทีค่ะ ดังนั้นคนจะทำงานนี้ได้ต้องเก่งภาษาพอๆ กับล่ามเลย(หรืออาจต้องเก่งกว่าด้วยซ้ำ) นอกจากนั้นต้องทำหน้าที่ร่าง ตรวจท่าน ดูแลการประชุมต่างๆ อีกด้วย

     สำหรับคนจะทำงานตำแหน่งนี้ ต้องมีประสบการณ์การทำงานด้านการแปลมาแล้วอย่างน้อย 5 ปีนะคะ โหดกว่าล่ามอีกนะเนี่ย!

3. เจ้าหน้าที่ฝ่ายสิทธิมนุษยชน (Human Rights Officer)

       
      หน้าที่หนึ่งของ UN ก็คือการดูแลเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วย ซึ่งคนที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสิทธิมนุษยชนนั้นมีหน้าที่คิดและเสนอนโยบายต่างๆ เพื่อพัฒนาเรื่องที่เกี่ยวข้อง เช่น สิทธิเรื่องเพศ สิทธิสตรี รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ที่ต้องมีความร่วมมือกัน จากนั้นพอทำเสร็จแล้ว ก็มีหน้าที่วิเคราะห์และประเมินผลงานของทีมว่าทำออกมาได้ดีหรือไม่ 

      สำหรับคนที่อยากทำงานตำแหน่งนี้ต้องเรียนจบในระดับปริญญาโทด้านนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนเท่านั้นค่ะ จึงจะตรงสายงานเป๊ะๆ

4. เจ้าหน้าที่พิทักษ์ปกป้องเด็ก (Child Protection Officer)


      เป็นอีกตำแหน่งงานที่ดูแบบว่า ใช่เลย นี่แหละ UN! กับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ปกป้องเด็กที่ต้องดูแลเด็กและเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องสิทธิมนุษยชน ทั้งเด็กที่ถูกทำร้าย เด็กที่ลี้ภัย เด็กที่ป่วย เด็กที่ได้รับผลกระทบจากสงครามกลางเมือง ซึ่งต้องประสานงานกับอีกหลายหน่วยงานโดยเฉพาะยูนิเซฟและ NGO

      สำหรับคุณสมบัติที่ต้องมีคือ ต้องจบปริญญาโททางด้านสังคมศาสตร์ กฎหมายระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญ แน่นอนว่าต้องรักเอ็นดูเด็ก ไม่ได้หมายถึงเด็กที่หน้าตาน่ารัก เพราะเด็กที่เราต้องช่วยเหลือนั้นส่วนมากเป็นเด็กที่ลำบากมากๆ หรือไม่ก็ป่วยทั้งนั้นเลย

5. เจ้าหน้าที่สร้างสันติภาพ (Peacebuilding Programme Officer)

       ว้าววว เป็นตำแหน่งที่ฟังดูดีมากๆ เลยค่ะ เหมือนเป็นผู้สร้างความสงบเลยนะเนี่ย ฮ่าๆ แต่จริงๆ แล้วหน้าที่นี้จะเน้นดูแลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของประเทศและของโลก หน้าที่หลักๆ ก็ต้องเตรียมข้อมูลเรื่องสถานการณ์ของโลกที่เกี่ยวข้องกับ "การทูตสิ่งแวดล้อม" เช่น การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม เพื่อใช้สำหรับการประชุมระดับประเทศหรือระดับนานาชาติ รวมถึงดูแลประสานงานการจัดเทรนหรือให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับการทูตสิ่งแวดล้อม

     สาขาที่ต้องเรียนจบคือ ปริญญาโทในด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ หรือไม่ก็ต้องเรียนจบเศรษฐศาสตร์ขั้นสูงค่ะ รวมถึงต้องมีประสบการณ์การทำงานในด้านการจัดการมาอย่างน้อย 5 ปีด้วย

6. เจ้าหน้าที่ควบคุมยาเสพติด (Drug Control Officer)


     ฟังดูแอบน่าหวาดเสียวและตื่นเต้น เหมือนต้องทำงานเป็นตำรวจยังไงก็ไม่รู้ สำหรับเจ้าหน้าที่ควบคุมยาเสพติดนั้นมีหน้าที่ดูแลและวิเคราะห์เรื่องยาเสพติดทั้งในพื้นที่รวมถึงระดับประเทศ วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ยาเสพติด พัฒนาการของยาเสพติด และกฎหมายเรื่องยาเสพติดที่ออกมา เพราะทั้งหมดนี้เป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกที่มักก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมตามมานั่นเองค่ะ

     ใครที่อยากทำงานด้านนี้ ต้องจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ สถิติ รัฐประศาสนศาสตร์ หรือแม้จบด้านเภสัชศาสตร์หรือเภสัชวิทยาก็สามารถทำงานนี้ได้ค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเคยมีประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การใช้ยาทางจิตเวช การบังคับใช้กฎหมาย หรือด้านอาชญากรรมด้วย


7. เจ้าหน้าที่จัดการด้านเศรษฐกิจ (Economic Affairs Officer)

     ตำแหน่งนี้เอาใจคนรักด้านเศรษฐศาสตร์โดยเฉพาะ เพราะต้องคอยดูแล วิจัย และวิเคราะห์สภาพเศรษฐกิจและการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ได้รับมอบหมาย ทั้งเรื่องการค้า การลงทุน การขนส่ง การพัฒนาสินค้า รวมถึงดูด้วยว่ามีการขาดแคลนสินค้าอะไรหรือไม่ ซึ่งส่วนมากจะต้องโฟกัสเรื่องของประเทศที่ยังไม่ค่อยพัฒนามากเท่าไหร่ค่ะ

     แน่นอนค่ะว่าใครจะทำงานนี้ต้องจบปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์เท่านั้น หรืออาจจะจบด้านการค้าระหว่างประเทศก็ได้ (หรือถ้าจบปริญญาเอกมานี่จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษเลยล่ะ) รวมถึงต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านการลงทุน การวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์ประยุกต์อีกด้วย


8. ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรธรรมชาติ (ป่าไม้) (Natural Resources Expert (Forestry))


     อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่า UN นั้นดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย ดังนั้นตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรธรรมชาติ (ป่าไม้) มีหน้าที่ดูแลและวิเคราะห์นโยบายเกี่ยวกับป่าไม้ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ เพราะการสูญเสียป่าไม้นั้นส่งผลต่อหลายๆ ทาง ทั้งเกษตรกรรม พลังงาน น้ำ หรืออาจพูดง่ายๆ คือต้องดูแลเรื่องระบบนิเวศในป่าไม้นั่นเองค่ะ 

     ใครอยากทำงานนี้ต้องจบปริญญาโททางด้านวิทยาศาสตร์ป่าไม้ หรือการจัดการป่าไม้ รวมถึงต้องมีประสบการณ์การทำงานด้านป่าไม้ด้วย


9. โฆษก (Spokeperson)


      หลายคนอยากเรียนนิเทศ แต่ก็สงสัยว่าถ้าเกิดจบนิเทศศาสตร์ จะมีตำแหน่งใน UN ให้เราทำมั้ย? มีแน่นอนค่ะกับตำแหน่ง "โฆษก" ที่จะได้ใช้ความรู้ทางนิเทศศาสตร์เต็มๆ เพราะมีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับสื่อต่างๆ เช่น การทำข่าว การสัมภาษณ์ การจัดการประชุม การติดตามข่าวรายวันทั้งในประเทศและต่างประเทศ จัดการกรองข่าวและข่าวลือผิดๆ คิดคำที่ใช้ขึ้นพูดกล่าวในงานต่างๆ

      ใครอยากเป็นโฆษกของ UN ต้องเรียนจบปริญญาโททางด้านนิเทศศาสตร์ การสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ วิทยุโทรทัศน์ หรือใครจบด้านสังคมศาสตร์ การจัดการ หรือบริหารธุรกิจ ก็ถือว่าทำงานนี้ได้เหมือนกัน



10. ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Adaptation Expert) 

      ฟังดูเป็นตำแหน่งที่หรูดูอัจฉริยะสุดๆ โดยคนที่ทำงานนี้จะมีหน้าที่วิจัยและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ โดยใช้ความรู้ที่ลึกซึ้ง มีความเข้าใจในทฤษฎี คอนเซ็ปต์ เพื่อหาวิธีการปรับตัวของมนุษย์ให้เข้ากับต่อสภาพภูมิอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลง หาวิธีการจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และประเมินผลกระทบ

      สาขาที่ต้องเรียนจบมาคือ ปริญญาโทด้านสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม หรือเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ รวมถึงต้องเคยมีประสบการณ์การทำงานในเรื่องภูมิอากาศหรือระบบนิเวศมาก่อน





10 ปรากฏการณ์ธรรมชาติน่าสนใจที่เกิดขึ้นทั่วโลก


      1. ปรากฏการณ์ทะเลสาบเขม่าภูเขาไฟที่อาร์เจนตินา ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากที่ภูเขาไฟปูเยฮวยทางตอนใต้ของชิลี ได้ปะทุขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายนปีก่อน ส่งผลให้เขม่าภูเขาไฟลอยไปตกในทะเลสาบที่อาร์เจนตินาซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ใกล้เคียง และฝุ่นเหล่านี้ก็ไม่ได้ละลายลงไปใต้น้ำด้วย จึงทำให้ทะเลสาบมีลักษณะอย่างที่เห็น คือเต็มไปด้วยฝุ่นผงจากภูเขาไฟ เปลี่ยนน้ำใสให้กลายเป็นทะเลสาบฝุ่นซะอย่างนั้น

       2. ปรากฎการณ์พายุฝุ่นยักษ์ ที่เมืองฟินิกซ์ รัฐแอริโซนาของสหรัฐฯ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว เมื่อพายุฝุ่นขนาดมหึมาได้โถมตัวเข้ากลืนกินเมืองฟินิกซ์ทั้งเมืองให้จมอยู่ในฝุ่นผง โดยมีรายงานว่าก่อนที่พายุทรายนี้จะโถมซัดเข้ามาในเมือง มันก่อตัวขึ้นสูงถึง 3 กิโลเมตรเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ดี ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากการถูกพายุพัด แต่ก็ทำให้เมืองทั้งเมืองเป็นอัมพาตไปชั่วคราว เนื่องจากไฟฟ้าดับ ต้นไม้ล้มระเนระนาด และเกิดอุบัติเหตุจากปัญหาเรื่องทัศนวิสัยในบางพื้นที่ ขณะที่ทางการรัฐแอริโซนาได้ออกมาเปิดเผยว่า มันเป็นพายุฝุ่นยักษ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยพัดผ่านบริเวณนี้เลยทีเดียว



    3. ปรากฏการณ์พายุงวงช้างในออสเตรเลีย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว หลังจากเกิดพายุทอร์นาโดใกล้กับชายหาดทางตอนเหนือของออสเตรเลีย ปรากฏว่าเกิดพายุงวงช้างตามมาติด ๆ โดยปรากฏการณ์นี้เกิดจากมวลอากาศเย็นเคลื่อนที่ผ่านผิวน้ำที่มีอุณหภูมิสูงกว่า จึงทำให้เกิดลมพัดเป็นเกลียวคลื่น พาละอองน้ำขึ้นสู่ท้องฟ้า นับเป็นปรากฏการณ์ที่เห็นได้ยาก และเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี ของแถบนี้เลยทีเดียว



        4. ปรากฏการณ์น้ำวนขนาดใหญ่ในญี่ปุ่น หลังจากเกิดสึนามิในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ทั้งโลกต่างให้ความสนใจไปที่ความรุนแรงและการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย น้อยคนจะได้รู้ว่า หลังจากเกิดสึนามิเพียงไม่กี่ชั่วโมง ได้เกิดปรากฏการณ์น้ำวนขนาดใหญ่ขึ้นในทะเลใกล้ท่าเรือโออาราอิ ซึ่งปรากฏการณ์นี้เกิดจากการเคลื่อนตัวของน้ำอย่างรวดเร็วทำปฏิกิริยากับชายฝั่งและพื้นทรายใต้ทะเลนั่นเอง


       5. ปรากฏการณ์หิมะตกหนักในทะเลทรายที่เก่าแก่ที่สุดในโลก บริเวณทะเลทรายในประเทศนามิเบียในทวีปแอฟริกาใต้ เป็นดินแดนทะเลทรายที่มีหิมะตกทุก 10 ปี ในฤดูหนาว แต่ด้วยความแปรปรวนของสภาพอากาศบนโลก ทำให้มันตกลงมาหลังฤดูร้อนเพียงไม่นาน เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว นับเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความประหลาดใจให้กับผู้เชี่ยวชาญและชาวเมืองมาก แถมหิมะยังตกต่อเนื่องตั้งแต่เช้ายันบ่าย อุณหภูมิต่ำลงมากที่สุดถึง -7 องศาเซลเซียส หนาวสั่นแบบไม่ทันตั้งตัวเลยล่ะ



        6. ปรากฏการณ์ฟองโฟมพัดเข้าชายฝั่งอังกฤษ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเขตคลีฟลีย์ เมืองลังคาเชียร์ของอังกฤษ เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว เมื่อฟองโฟมมหาศาลจากทะเลได้พัดเข้าชายฝั่งทะเล ทำให้เห็นเป็นฟองโฟมคาปูชิโนอย่างที่เห็น ส่วนสาเหตุที่เกิดปรากฏการณ์นี้นั้น ผู้เชี่ยวชาญได้อธิบายว่า มันเกิดจากโมเลกุลไขมันและโปรตีนของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในทะเล ทำปฏิกิริยากันจนกลายเป็นฟองโฟม ก่อนจะพัดเข้าสู่ชายฝั่ง ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางรายก็ได้ออกมาอธิบายขัดแย้งกันว่า เกิดจากการเน่าเปื่ยของซากพืชซากสัตว์ในทะเล ทำปฎิกิริยากับสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้น จนก่อให้เกิดเป็นโฟมเหล่านี้



       7. ปรากฏการณ์ทอร์นาโดไฟในบราซิล เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ไม่บ่อย แต่ก็ไม่ได้เว้นช่วงนานนัก มันเกิดจากการที่มีไฟไหม้ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ป่าตามธรรมชาติหรืออะไรก็ตาม จากนั้นมันก็ถูกกระแสลมม้วนตัวขึ้นสู่ที่สูง กลายเป็นทอร์นาโดไฟที่น่ากลัวอย่างที่เห็น


         8. ปรากฏการณ์ใยแมงมุมคลุมต้นไม้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปากีสถานเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว แน่นอน มันเกิดจากการที่แมงมุมนับล้านตัวมาร่วมกันชักใยบนต้นไม้ แต่ทำไมมันต้องมาอยู่บนต้นไม้คราวละเป็นล้านอย่างนี้ล่ะ? เรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญเฉลยว่า เจ้าแมงมุมนับล้านเหล่านี้มันหนีน้ำท่วมครั้งใหญ่นั่นเอง เลยจำเป็นต้องมารวมตัวกันในที่สูง ๆ ไว้อย่างที่เห็นนี่แหละ


          9. ปรากฏการณ์เสียงจากทะเลน้ำแข็ง ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้นึกภาพนึกเสียงออก เอาเป็นว่าลองชมคลิปวิดีโอนี้ดูสักหน่อย มันเป็นปรากฏการณ์ที่ความเย็นของน้ำแข็งและน้ำเย็นเฉียบ ทำปฎิกิริยากับสภาพอากาศเบื้องบนที่อุ่นกว่า เลยเกิดเสียงอย่างที่ได้ยินจากคลิปนี้ เหมือนกับเวลาที่เรานำขวดน้ำเย็นปิดฝาเกือบสนิทมาวางไว้นอกตู้เย็นนั่นแหละ


          10. ปรากฏการณ์ไอน้ำบนทะเลดำ เกิดขึ้นในทะเลดำที่อยู่ระหว่างทวีปยุโรปและเอเชียไมเนอร์ ที่เมื่อมันมีอุณหภูมิต่ำมาก ๆ ก็จะทำให้เกิดไอน้ำลอยขึ้นไปเหนือน้ำ บางครั้งก็งดงามจนเหมือนมีใครเอาน้ำแข็งแห้งไปวางไว้เลยทีเดียวล่ะ


















     ในโลกใบนี้มีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าสนใจให้เราได้รู้สึกฮือฮาและประหลาดใจอยู่มากมาย บางปรากฏการณ์ก็น่ากลัวเหลือร้าย ขณะที่บางปรากฏการณ์ก็งดงามจับใจอย่างไม่น่าเชื่อ....