Wednesday, October 30, 2013

เรื่องน่ารู้ของ "ประเทศปานามา"!




ชื่อทางการ   สาธารณรัฐปานามา (Republic of Panama)
พรมแดน   มีอาณาเขตจรดประเทศคอสตาริกาทางทิศตะวันตก และจรดประเทศโคลอมเบียทางทิศตะวันออก
ภูมิประเทศ   พื้นที่ทางทิศเหนือและใต้เป็นชายฝั่งทะเล โดยทิศเหนือติดมหาสมุทรแปซิฟิก และทิศใต้ติดทะเลแคริบเบียน 
ภูมิอากาศ   อยู่ในเขตร้อน และได้รับอิทธิพลจากลมทะเล
ภาษาทางการ   ภาษาสเปน
ระบบการปกครอง   ประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดี
เมืองหลวง   กรุงปานามา (Panama City)
เมืองสำคัญอื่นๆ   Balboa, Boquete, Boca Chica, Colón, Cristobal, David, Gamboa, Portobelo
พื้นที่  75,517 ตารางกิโลเมตร
สกุลเงิน  บัลโบอา (PAB) โดยมีค่าเท่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรัฐบาลปานามาผลิตเพียงแต่เหรียญกษาปณ์สกุล Balboa เท่านั้น การซื้อขายโดยทั่วไปใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ
ประชากร   ประมาณ 3.5 ล้านคน
เวลา   ช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง
หัสโทรศัพท์   507




        เป็นประเทศที่อยู่ทางใต้สุดของอเมริกากลาง จากแผนที่ประเทศปานามา เราจะเห็นว่าเป็นแผ่นดินเรียวยาวและโค้ง ซึ่งเชื่อมแผ่นดินด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ คือประเทศคอสตาริกา และด้านตะวันออกคือประเทศโคลัมเบียไว้ด้วยกัน นอกจากนี้คลองปานามายังเป็นผู้เชื่อมแผ่นดินของมหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลแคริบเบียนอีกด้วย ในทางประวัติศาสตร์ ประเทศปานามาได้รับเอกราชจากประเทศสเปนในปี ค.ศ. 1826 และได้รวมประเทศกับประเทศโคลัมเบีย เอกวาดอร์และเวเนซูเอลาเป็นสาธารณรัฐแห่งโคลัมเบีย ซึ่งแยกตัวได้อย่างอิสระในที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 1903 ในทางเศรษฐกิจ ปานามาเป็นประเทศที่มีเรือพาณิชย์เดินทะเลจดทะเบียนในประเทศเป็นอันดับหนึ่งของโลก และเป็นประเทศที่ค่าครองชีพไม่สูง คืออาหารมือหนึ่งประมาณ 150 บาท น้ำขวดเล็กขวดละ 26 บาท และค่าเดินทางขนส่งสาธารณะอยู่ที่ครั้งละประมาณ 18 บาทเท่านั้น


กิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในปานามา เช่น


Panama Canal


    หากไปถึงกรุงปานามาแล้ว การไปเยี่ยมชมคลองปานาถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาด เพื่อชมเรือเดินสมุทรลำมโหฬารแล่นผ่านคลองเล็กๆแห่งนี้ไป


Puente de las Américas (The Bridge of the Americas)


       สะพานแห่งนี้เดิมรู้จักกันในชื่อของ the Thatcher Ferry Bridge ซึ่งเป็นถนน (สะพาน) ทอดข้ามจากแปซิฟิคไปยังคลองปานามา สร้างเสร็จเมื่อปี  1962 ด้วยงบประมาณสร้างถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ 


Iglesia del Carmen 


โบสถที่สวยที่สุดในกรุงปานามา 


Casco Viejo


         Viejo เป็นส่วนหนึ่งของกรุงปานามา อันเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ ที่จะสามารถพบสถาปัตยกรรมของตึกรามบ้านช่องอันเป็นเอกลักษณ์แบบ colonial style โดย Casco Viejo เป็นส่วนที่ย้ายมาจาก Panama Viejo ที่ถูกปล้นสะดมโดยโจรสลัด Henry Morgan ในช่วงศตวรรษที่ 16 ซึ่งยังมีซากสิ่งก่อสร้างให้ได้เห็นถึงทุกวันนี้




Amador Causeway


      Amador Causeway เป็นจุดเชื่อมต่อเกาะทั้ง 3 เกาะกับแผ่นดินใหญ่แห่งกรุงปานามา ซึ่งจุดนี้จะเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่งดงาม ชาวปานามามักจะมาพักผ่อนที่นี่ ไม่ว่าจะมาวิ่งจ๊อกกิ้ง, ปั่นจักรยาน, เล่นโรลเลอร์เบลด หรือมานั่งรับประทานอาหารและเครื่องดื่มกันที่นี่ 



ขี่ม้าบนภูเขา Boquete




งานเทศกาล Black Christ Festivalวันที่ 19-21 ตุลาคม ของทุกปี


        งานเทศกาล Black Christ Festivalในปานามา เป็นงานทางศาสนาที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อชาวปานามา โดยเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่ออุทิศ เฉลิมฉลอง และแสดงความเคารพต่อ Black Christ โดยตามที่ได้เล่าต่อๆกันมานั้น Black Christ หรือรูปปั้นพระเยซูที่มีพระองค์สีดำนี้ปรากฏขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ที่ริมชายฝั่งในปานามา และมีชาวประมงไปพบเข้า 



ชม The Pollera (ชุดพื้นเมืองของปานามา)




ชิม Patacones (อาหารพื้นเมือง Fried Green Plantain)










#ขอบคุณบทความดีๆจากเว็บ Dek-D ด้วยนะค่ะ










จุดพรมแดนเชื่อมต่อทวีปต่างๆ หาดูยาก!




รัสเซีย

     หลายคนน่าจะรู้ว่ารัสเซียเป็นประเทศ 2 ทวีป คือมีพื้นที่อยู่ทั้งในยุโรปและเอเชีย มีพื้นที่รวมแล้วเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก สำหรับเมืองที่อยู่คาบเกี่ยวกับทั้ง 2 ทวีปนั้นก็คือเมืองที่มีชื่อว่า Yekaterinburg (เยคาเตรินเบิร์ก) ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่อันดับ 4 ของประเทศ


      สำหรับสิ่งที่เป็นตัวแบ่ง 2 ทวีปนั้น เป็นอนุสรณ์กลางเมืองแบบนี้ค่ะ ฝั่งนึงก็เอเชีย อีกฝั่งก็คือยุโรป ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองไปแล้ว นักท่องเที่ยวคนไหนมาที่เยคาเตรินเบิร์กแต่ไม่มาเมืองนี้ ถือว่ามาไม่ถึงจริงๆ นะ ส่วนท่าแอ็คเวลาถ่ายรูป ส่วนมากก็ไม่พ้นการยืนคร่อมทั้ง 2 ทวีปแน่นอน อิอิ (โอ๊ยยย อยากไปปปป)


ตุรกี

     ตุรกีก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศ 2 ทวีป โดยเมืองที่คร่อมทั้งเอเชียและยุโรปคือ "อิสตันบูล" ซึ่งมนุษย์โลกร้อยละ 90 เข้าใจว่าเมืองนี้เป็นเมืองหลวงของประเทศ จริงๆ ไม่ใช่นะคะ เมืองหลวงของประเทศคือ "อังการา" แต่อิสตันบูลเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักและมีประชากรอาศัยอยู่มากที่สุดของประเทศ คนเลยเข้าใจว่าเมืองนี้เป็นเมืองหลวง (อารมณ์เข้าใจว่าซิดนีย์เป็นเมืองหลวงของออสเตรเลียไง)


     สำหรับพรมแดนของทั้ง 2 ทวีปนั้นคือแม่น้ำมาร์มาร่า จะคั่นเมืองอิสตันบูลออกเป็น 2 ฝั่งคือฝั่งยุโรปและเอเชียนั่นเอง ซึ่งสะพานที่เชื่อมมี 2 แห่งคือ สะพาน Bosphorus และสะพาน Fatih Sultan Mehmet ค่ะ หรือใครอยากจะล่องเรือข้ามทวีปผ่านแม่น้ำมาร์มาร่าก็ได้ ส่วนมากไกด์บนเรือเค้าจะชี้ให้ดูจุดที่แบ่ง 2 ทวีปออกจากกันด้วยแหละ 


     แอบเม้าท์ๆ มีน้องคนหนึ่งไปแลกเปลี่ยนที่ตุรกี ได้อยู่เมืองอิสตันบูล บ้านอยู่ฝั่งยุโรป โรงเรียนอยู่ฝั่งเอเชีย สรุปคือได้ข้ามไปกลับ 2 ทวีปทุกวัน 




         
         จากแผนที่จะเห็นว่ามี ทะเลแดง (Red Sea) เป็นตัวคั่นระหว่างทวีปเอเชียและแอฟริกา  ซึ่งจุดที่ถือว่าเป็นตัวแบ่ง 2 ทวีปออกจากกันนั้นมีชื่อว่า Isthmus of Suez หรือ "คอคอดสุเอซ" ซึ่งอยู่บริเวณคลองสุเอซ เป็นคลองที่เชื่อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลแดงเข้าหากัน ซึ่งจะอยู่ใกล้กับเมือง Port Said ของอียิปต์ และถึงจะเป็นคลองที่คั่นทวีปออกจากกัน แต่ประเทศอียิปต์ถือเป็นเจ้าของคลองนี้แต่เพียงผู้เดียว






          พรมแดนของทวีปอเมริกาเหนือ-อเมริกาใต้จะคล้ายๆ พรมแดนเอเชีย-แอฟริกาเลยค่ะ เพราะถูกคั่นโดยคอคอดเหมือนกัน สำหรับคอคอดนี้เป็นคอคอดใน "คลองปานามา" น่าจะเคยได้ยินชื่อกัน เป็นคลองที่ขุดขึ้นเพื่อเชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าด้วยกัน และก็เช่นกันค่ะ ถึงจะเป็นพรมแดนที่แบ่ง 2 ทวีปออกจากกัน แต่คอคอดนี้ก็ถือเป็นของประเทศปานามาแต่เพียงผู้เดียว


**ส่วนพรมแดนอื่นๆ เช่น ทวีปยุโรป-ทวีปแอฟริกา หรือทวีปเอเชีย-ทวีปออสเตรเลียนั้น ไม่ได้มีการกำหนดพรมแดนอย่างเป็นทางการค่ะ แต่คาดว่าก็น่าจะอยู่บริเวณทะเลหรือมหาสมุทรทคั่นทั้งสองทวีปออกจากการนั่นเอง**





       แต่ที่อยากนำเสนอมากๆ ก็คือ "พรมแดนระหว่างประเทศ" ปกติแล้วมักมีแม่น้ำ ภูเขา หรือมีด่านกั้นใช่มั้ยคะ และสำหรับประเทศกับอเมริกาและแคนาดาก็เช่นกันค่ะ ถ้าดูจากแผนที่ น้องๆ จะพบว่ามีหลายรัฐของอเมริกาที่ติดกับหลายมณฑลของแคนาดา พรมแดนระหว่างประเทศจึงมีหลายจุดมาก แต่ที่เป็นไฮไลต์จริงๆ คงต้องยกให้พรมแดนในเมือง Derby Line!! เพราะจุดคั่นประเทศมันผ่ากลางเมืองเลยค่ะ บ้านบางหลังก็กินพื้นที่ทั้ง 2 ประเทศ 0__0 หรือแม้เแต่ห้องสมุดประชาชนหรือโรงละครของเมือง ก็มีเส้นคั่นผ่ากลางเลยล่ะ!!









        มาที่ยุโรปบ้าง พรมแดนที่น่าทึ่งนี้เป็นพรมแดนระหว่างประเทศเนเธอร์แลนด์และประเทศเบลเยี่ยมซึ่งอยู่ติดกันเลย ก็เป็นตามรูปนี้แหละค่ะ โดยจะกั้นระหว่างเมือง Baarle Nassau ของเนเธอร์แลนด์ และเมือง Baarle Hertog ของเบลเยี่ยม และจะมีตัวอักษร NL และ B บอกเขตว่าเป็นเขตของประเทศไหน ซึ่งซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งก็กินพื้นที่ทั้ง 2 ประเทศเลยล่ะ












#ขอบคุณบทความดีๆจากเว็บ Dek-D ด้วยนะค่ะ














5 โรงเรียนมัธยมเด็กเก่งที่สุดใน"อังกฤษ"!


 1.Magdalen College School 


      เรียกสั้นๆ ว่า MCS ตั้งอยู่ในเมืองอ๊อกซ์ฟอร์ด จริงๆ เป็นโรงเรียนชายล้วนแต่
 ใน Year 12-13 ก็จะรับนักเรียนหญิงด้วย
โดยนักเรียนในโรงเรียนนี้สอบผ่าน A-Level
 ได้เกรด A-A* รวมแล้วกว่า 99.52% !!!!!!!!!!
โอววววมายก็อด สาบานว่านี่คือ
 มนุษย์ -*- 
ไม่แค่นั้นนะคะ เพราะ 30% ของนักเรียนที่จบในแต่ละปี ได้รับการ
 ตอบรับให้เข้าเรียนจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดและมหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ด้วย!!

 ส่วนที่เหลือก็แยกย้ายไปตามมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงทั่วโลก นอกจากนี้
 หากใครไปเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่เด็กๆ แล้วล่ะก็ จะถูกจับเรียนภาษาฝรั่งเศสและ
 ภาษาละตินด้วยนะเออ 



    เป้าหมายของการเรียนการสอนของโรงเรียนนี้คือ "ครูต้องสอนนอกเหนือจากหลักสูตร" 
เพื่อสร้างนิสัยและความคิดที่ดีให้แก่นักเรียนเพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์นั่นเอง ดังนั้นจุดเด่นของการเรียนการสอนของที่นี่คือ นักเรียนทุกคนจะทำต้องลงมือทำวิจัย!! แต่ละคนจะมีอาจารย์ที่ปรึกษาส่วนตัว โดยสามารถเลือกทำงานวิจัยได้ตามใจชอบจากหัวข้อดังนี้ คณิตศาสตร์และการเขียนโปรแกรม วิทยาศาสตร์ชีวภาพและการแพทย์ ฟิสิกส์และวิศวกรรมมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ภาษาและคลาสสิก .... โอ้โห เรียนมัธยมแต่ต้องทำงานวิจัยซะยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่แปลกใจจริงๆ ค่ะว่าทำไมนักเรียนเค้าถึงเก่งขนาดนี้ อ้อส่วนเรื่องกีฬาก็ไม่น้อยหน้าค่ะ เป็นอะไรที่โรงเรียนชายล้วนขาดไม่ได้อยู่แล้ว 
ที่นี่มีกีฬาให้ เล่นเพียบ แต่หลักๆ จะเป็นรักบี้ ฮอกกี้ คริกเก็ต และเทนนิส


      วิชาที่เปิดสอนในระดับ A-Level : ศิลปะ ชีววิทยา เคมี คอมพิวเตอร์ เศรษฐศาสตร์
   วรรณคดีอังกฤษ ฝรั่งเศส 
คณิตศาสตร์ชั้นสูง ภูมิศาสตร์ ภาษาเยอรมัน ภาษากรีก
   ประวัติศาสตร์ ภาษาละติน คณิตศาสตร์ ดนตรี ปรัชญา ฟิสิกส์ รัฐศาสตร์ ภาษาสเปน
   เทววิทยา สำหรับค่าเล่าเรียนต่อปีอยู่ที่ £13,932 คิดเป็นเงินไทยก็เกือบ 7 แสนค่ะ 




2.Westminister School


    เป็นอีกโรงเรียนที่หลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินหรือผ่านหูมาบ้าง โดยโรงเรียนนี้เป็นสหศึกษาในกรุงลอนดอนมีทั้งแบบไปกลับและแบบอยู่กินประจำโรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้เปิดสอนแค่จันทร์-ศุกร์นะคะ แต่วันเสาร์ก็ต้องมาเรียนด้วย(วิชาที่เด่นมากๆ ของที่นี่คือเคมีและชีววิทยา)และสำหรับสถิติของนักเรียนที่จบไปในปีล่าสุดนั้น จากนักเรียนทั้งหมด189 คน หลักๆ ได้รับการตอบรับจากอ๊อกซ์ฟอร์ด 54 คน , แคมบริดจ์31 คน , บริสตอล 13 คน ,University College London 11 คน(เก่งมากๆ) และในแต่ละปีมีผู้สมัครเข้าเรียนที่นี่ประมาณ 400 คน แต่รับเพียง 65 คนเท่านั้น



สำหรับแบบโรงเรียนประจำ (เหมาะกับ เด็กต่างชาติอย่างเรา) ในแต่ละวันจะ
 เริ่มที่ประมาณ 8 โมงเช้าที่อาหารเช้า จะถูกตั้งไว้ในห้องอาหาร 
 ถือว่าเป็น เวลาที่กำลังโอเคเลยค่ะ เพราะโรงเรียนประจำในบางประเทศนี่ต้อง
 ตื่นมากินข้าวเช้ากันตั้งแต่ 6โมงกว่า เลยนะ !! จากนั้นก็เป็นเวลาเข้าเรียนจนเลิกเรียน
 ประมาณ 4 โมงเย็น พอเลิกเรียนแล้วทางโรงเรียนจะให้นักเรียนได้จิบน้ำชา
 กันเบาๆ ก่อนแยกย้ายค่ะ ผู้ดีอังกฤษจริงๆ นะเนี่ยที่สำคัญคือ นักเรียนประจำจะค้างที่
 โรงเรียนเฉพาะจันทร์-ศุกร์ เท่านั้น เสาร์อาทิตย์ต้องกลับบ้านดังนั้นใครอยากไปเรียนที่นี่
 อาจจะต้อง ตีเนียนหาเพื่อนซี้ปึ๊กไว้ขอไปค้างด้วย

วิชาที่เปิดสอนในระดับ A-Level : ประวัติศาสตร์ศิลปะ การละคร เศรษฐศาสตร์ วรรณคดี
   อังกฤษ ประวัติศาสตร์ 
คณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์ชั้นสูง ศาสนศึกษา ศิลปะ ชีววิทยา เคมี
   เศรษฐศาสตร์ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาละติน ดนตรี ฟิสิกส์ 
ภูมิศาสตร์ ภาษาเยอรมัน ภาษา
   กรีก ภาษารัสเซีย ภาษาสเปน การคิดวิเคราะห์ ไฟฟ้า 
ค่าเล่าเรียนต่อปีอยู่ที่ £22,854หรือประมาณ 1,140,000 บาท สำหรับไปกลับ และ £30,438 หรือประมาณ 1,520,000 บาท สำหรับแบบประจำ


3. Wycombe Abbey School


       เป็นโรงเรียนประจำหญิงล้วน ก่อตั้งมาแล้วร้อยกว่าปี แต่จริงๆ ก็มีนักเรียนแบบไปกลับอยู่
 บ้าง 
แต่ก็ในจำนวนที่น้อยมากเลยค่ะ (30 คนเท่านั้น) สำหรับหอพักนักเรียนนั้น จะมีบ้าน
 ทั้งหมด 9 หลัง ได้แก่ Pitt , Rubens , Airlie , Barry , Butler , Campbell , Shelburne ,
 Wendover , Cloister แต่ละหลังจะมีนักเรียนอยู่หลังละ 45 คน (หลังใหญ่น่าดู) 
สำหรับเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ต้องเบื่อค่ะ เพราะแต่ละบ้านก็จะจัดกิจกรรมของตัวเอง เช่น ปาร์ตี้ดูหนัง
ปาร์ตี้พิซซ่า


       สำหรับเนื้อหาการเรียนใน Year 12-13 นั้น เป็นหลักสูตร A-Level ที่สำคัญคือนักเรียนทุกคนต้องลงเรียนวิชา "การคิดวิเคราะห์" (เหมาะกับสอบ GAT มาก) โรงเรียนอนุญาตให้นักเรียนที่มีเวลาว่างลงเรียนวิชาต่อไปนี้เพิ่มเติมได้ ได้แก่ ภาษาจีนขั้นต้น ภาษาอิตาเลียน และการขับขี่ในยุโรป


      วิชาที่เปิดสอนในระดับ A-Level : ศิลปะและการออกแบบ ชีววิทยา เคมี ภาษาจีนประวัติศาสตร์ยุคโบราณ การออกแบบและเทคโนโลยี เศรษฐศาสตร์ วรรณคดีอังกฤษภาษาฝรั่งเศส รัฐศาสตร์และการปกครอง ภูมิศาสตร์ ภาษาเยอรมัน ภาษากรีกประวัติศาสตร์ ภาษาญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ภาษาละติน คณิตศาสตร์ชั้นสูง ดนตรี พละศึกษา ฟิสิกส์ จิตวิทยา ศาสนศึกษา ภาษาสเปน 
ค่าเล่าเรียนต่อปีอยู่ที่ £10,650 ต่อเทอม หรือประมาณ 533,000 บาท และปีนึงก็มี 3 เทอม


4. Withington Girls School 


    เป็นโรงเรียนหญิงล้วนในเมืองแมนเชสเตอร์ มีปรัชญาโรงเรียนเป็นภาษาละตินว่า Ad
  lucem 
หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Towards the light(มุ่งหน้าไปยังแสงสว่าง)และก็สมกับปรัชญาเค้าจริงๆ ค่ะ เพราะในปีล่าสุด กว่า 96% ของนักเรียนที่นี่สอบA-Level ผ่านในระดับ A*-A !!


       ในแต่ละวัน ที่นี่จะเริ่มเรียนตั้งแต่ประมาณ 9 โมงเช้าจนถึงเกือบ 4 โมง และสิทธิพิเศษสุดๆของเด็กYear 12-13 ของที่นี่คือ ไม่จำเป็นต้องใส่ชุดนักเรียนมาเรียนก็ได้ และอนุญาตให้ออกไปหาอาหารกลางวันทานข้างนอกได้ด้วย เพราะเหล่าอาจารย์เชื่อว่า "นักเรียนต้องรับผิดชอบตัวเองได้"


      และถึงจะไม่ใช่โรงเรียนประจำ นักเรียนที่นี่จะต้องถูกแบ่งออกเป็นบ้านสำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นกีฬาสี แข่งพูดภาษาอังกฤษ แข่งดนตรี แข่งขันในเทศกาลอีสเตอร์แข่งร้องเพลงสวด โดยมีทั้งหมด 4 บ้านคือ Herford after Caroline Herford (สีเขียว), Lejeune after Louisa Lejeune (สีแดง), Scott after Charles Prestwich Scott (สีน้ำเงิน)Simon after Henry & Emily Simon 
(สีเหลือง)


      วิชาที่เปิดสอนในระดับ A-Level : ภาษาอังกฤษ ประวัติศาสตร์ การละคร วรรณคดีอังกฤษ ภูมิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ คณิตศาสตร์ ปรัชญา รัฐศาสตร์และการปกครองคณิตศาสตร์ชั้นสูง ฟิสิกส์ ภาษาสเปน ภาษาฝรั่งเศส เคมี จิตวิทยา ICT ชีววิทยาภาษาเยอรมัน ภาษาละติน ศิลปะ ดนตรี ภาษากรีก ค่าเล่าเรียนต่อปีอยู่ที่ £10,548 หรือประมาณ 530,000 บาท



5. St Paul's Girls' School 


ที่นี่เป็นโรงเรียนหญิงล้วนบ้างค่ะ สำหรับสาวๆ นักเรียนของโรงเรียนนี้เค้าเรียนเก่งกันขั้นเทพจริงๆ เพราะไม่เคยมีปีไหนที่คะแนน A-Level ของเกรด A-A* จะต่ำกว่า97% ทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นโรงเรียนที่หรูสุดๆ เพราะว่ากันว่าที่โรงเรียนนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย เช่น ศูนย์ไอที สนามกีฬา สระว่ายน้ำ สตูดิโอ ห้องแล็บวิทย์ ห้องแล็บภาษา ห้องสมุด และอื่นๆ "ดีที่สุดในลอนดอน" โอ้ววว ไฮโซ! แต่
ถึงอย่างนั้น สภาพแวดล้อมในโรงเรียนถือว่าอบอุ่นสุดๆ ค่ะ ทั้งบรรยากาศ อาจารย์ และเพื่อนๆ เพราะในเว็บไซต์ของ  โรงเรียนนั้น ได้ลงความในในใจของนักเรียนที่นี่ หลายเสียงบอกว่า...


"หากคุณเพียงแต่ก้มหน้านิดเดียว จะต้องมีคนมาถามว่าคุณว่า คุณโอเคมั้ย ไม่สบายหรือ
  เปล่า นอกจากนี้คุณยังสามารถ
ขอเข้าพบอาจารย์เพื่อนัดคุยได้ตลอดเวลาด้วย ทุกๆ คนที่นี่
  เอาใจใส่กันดีมาก"


 "สำหรับวิชาใน A-Level ฉันเลือกเรียนชีววิทยา เคมี ประวัติศาสตร์ศิลปะ และภาษาเยอรมัน
  ดูเหมือนแต่ละวิชามันไม่ได้
เข้ากันเลย แต่ไม่มีใครที่นี่ซุบซิบหรือคิดว่าฉันแปลก แต่ทุกคน
  กลับให้กำลังใจที่จะให้ฉันเป็นตัวของตัวเอง


       จุดเด่นของโรงเรียนนี้คือเป็นโรงเรียนที่มีชมรมเยอะมากกกกกกกกก แค่ร้อยกว่าชมรมเอง -*- เช่น คาราเต้ โต้วาที ดำน้ำ ฟันดาบ ออกแบบ เศรษฐศาสตร์ ภาพยนตร์ โยคะนักลงทุนรุ่นเยาว์ นักเล่าประวัติศาสตร์ ยิมนาสติก และอีกมากมายเรียกว่าน้องๆ คนไหนไปเรียนโรงเรียนนี้ก็ไม่ต้องกลัวหาเพื่อนไม่ได้นะคะ เพราะถ้าเข้าชมรมล่ะก็ ยังไงต้องได้เพื่อนแน่ๆ


        วิชาที่เปิดสอนในระดับ A-Level : ศิลปะและการออกแบบ ประวัติศาสตร์ศิลปะ ชีววิทยาเศรษฐศาสตร์ กรีกคลาสสิก เคมี วรรณคดีอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภูมิศาสตร์ วรรณคดีอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภูมิศาสตร์ ภาษาเยอรมัน รัฐศาสตร์และการปกครอง ประวัติศาสตร์
   ภาษาอิตาเลียน ภาษาละติน คณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์ชั้นสูง ดนตรี ฟิสิกส์ ภาษาสเปน
   ภาษารัส
เซีย ศาสนศึกษา การละคร  
ค่าเล่าเรียนต่อปีอยู่ที่ £18,840 หรือประมาณ940,000 บาท 












#ขอบคุณบทความดีๆจากเว็บ Dek-D ด้วยนะค่ะ