Thursday, September 26, 2013

5 เรื่องของเครื่องบิน-สายการบินที่คุณอาจยังไม่รู้!


สายการบินโลว์คอสต์คือสายการบินต้นทุนต่ำ
แต่ราคาไม่ได้ต่ำเสมอไป



              เวลาที่สายการบินโลว์คอสต์ออกโปรโมชั่นมาทีไร หลายคนคงกระโจนเข้าเว็บไซต์รีบจองกันหูตาเหลือกเพราะกลัวจะพลาดของดีราคาถูกไป ซึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ค่ะว่าในบางครั้งราคาก็ถูกมากจริงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องแลกกับ "การรอคอย" เพราะมักเป็นการจองล่วงหน้าข้ามปีทีเดียว ซึ่งต้องวัดดวงกันอีกทีว่า ณ เวลานั้น เราจะยังว่างที่จะเดินทางหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม "อย่าคิดว่าสายการบินโลว์คอสต์ถูกที่สุด" เพราะว่า

         - หากสายการบินทั่วไปที่ไม่ใช่โลว์คอสต์มีโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินราคาพิเศษ บางทีเราอาจจะเสียเงินเพิ่มจากสายการบินโลว์คอสต์เพียงนิดเดียว แต่ได้รับบริการแบบเต็มรูปแบบหรือ Full Service ยกตัวอย่างเช่น สายการบินโลว์คอสต์ยี่ห้อหนึ่ง มีโปรโมชั่นบินไปฮ่องกงด้วยราคาไปกลับประมาณ 4,000 บาท และเมื่อรวมค่าโหลดกระเป๋าด้วยแล้ว ทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 5 พันเศษๆ 

         แต่ในบางช่วง สายการบินทั่วไปที่ไม่ใช่สายการบินโลว์คอสต์ ซึ่งปกติค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับฮ่องกงจะอยู่ที่ 8-9 พันบาท อาจมีจัดโปรโมชั่นราคาอยู่ที่ 6-7 พันบาทเท่านั้น แต่เราสามารถโหลดกระเป๋าได้ฟรี มีเสิร์ฟอาหารหรู ที่นั่งก็สบายกว่า มีจอส่วนตัว แบบนี้คุ้มกว่าเห็นๆ ค่ะ 


       - หากจองในระยะเวลากระชั้นชิด สายการบินโลว์คอสต์ก็แพงเหมือนกัน เพราะราคาตั๋วสายการบินโลว์คอส์ตจะขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานด้วยค่ะ เช่น เที่ยวบินที่กำลังจะบินในอีก 2-3 วันข้างหน้ามักมีราคาแพง (เพราะคนที่ซื้อแบบกระชั้นชิดแบบนี้ แสดงว่ามีความจำเป็นที่จะต้องบินจริงๆ) ดังนั้นราคาตั๋วจึงถีบตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจจะราคาพอๆ กับสายการบินทั่วไปก็ได้ ดังนั้นหากใครจะซื้อตั๋วเครื่องบินในเวลากระชั้นชิด แนะนำให้บินกับสายการบินทั่วไปน่าจะคุ้มกว่าค่ะ


ซื้อตั๋วเครื่องบินแบบแวะพักเครื่อง มักถูกกว่าซื้อตั๋วแบบบินตรง

       บินตรงหรือ Direct Flight คือการบินรวดเดียวแล้วถึงปลายทางเลยค่ะ เช่น กรุงเทพ-ลอนดอน ก็บินรวดเดียว 10 ชั่วโมงถึงเลย ซึ่งสายการบินที่ทำการบินตรงแบบนี้ มักเป็นสายการบินของประเทศต้นทางและปลายทางนั่นเองค่ะ ยกตัวอย่างเช่น สายการบินที่ทำการบินตรงจากกรุงเทพ-ลอนดอน ก็คือ การบินไทย(ของประเทศไทย) และ บริติชแอร์เวย์(ของอังกฤษ) ซึ่งตั๋วเครื่องบินแบบบินตรงนั้นจะค่อนข้างราคาสูงทีเดียว

       แต่ก็มีอีกตัวเลือกสำหรับคนที่อยากได้ตั๋วราคาถูกลงมาหน่อยหรือสำหรับคนที่ไม่ชอบนั่งเครื่องบินนานๆ แต่ก็จะต้องเสียเวลา
"ไปเปลี่ยนเครื่องบินที่สนามบินที่อยู่ในประเทศของสายการบินนั้นๆ" เช่น 


- หากบินกับสายการบิน Emirates จะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่อาหรับเอมิเรตส์
- หากบินกับสายการบิน Eva Air จะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ไต้หวัน
- หากบินกับสายการบิน Korean Air จะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่เกาหลีใต้
- หากบินกับสายการบิน Malaysia Airlines จะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่มาเลเซีย
- หากบินกับสายการบิน Cathay Pacific จะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง

       ซึ่งระยะเวลาการรอเปลี่ยนเครื่องก็แล้วแต่เลยค่ะ มีตั้งแต่ชั่วโมงกว่าๆ จนถึงรอข้ามคืนก็มี ข้อดีก็อย่างที่บอกไป คือราคาตั๋วแบบนี้มักถูกกว่าบินตรง เช่น หากบินตรงจากกรุงเทพ-ลอนดอน ค่าตั๋วเครื่องบินส่วนมากแพงกว่า 35,000 บาท แต่หากบินแบบแวะพักเครื่อง อาจโชคดีได้ตั๋วราคาต่ำกว่า 30,000 บาทก็ได้นะเออ 

       แต่ก็มีหลายคนนะคะที่นิยมแบบบินตรงมากกว่า เพราะไม่อยากเสียเวลาเปลี่ยนเครื่อง หรืออาจเป็นผู้สูงอายุที่ไม่อยากลุกขึ้นลุกลงบ่อยๆ เลยยอมจ่ายแพงกว่าและบินตรงทีเดียวถึงเลย


อย่าลืมสะสมไมล์

      เป็นเรื่องที่หลายคนมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย การซื้อตั๋วเครื่องบินก็เหมือนการซื้อของในห้างค่ะ สามารถสมัครสมาชิกและสะสมไมล์หรือคะแนนได้ และหากเรามีไมล์เยอะๆ ในอนาคตก็สามารถนำไมล์นี้มาแลกเป็น "ตั๋วเครื่องบิน" ได้ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น สายการบินเอมิเรตส์ หากบินไปกลับในแถบยุโรป 2 ครั้ง จะได้ไมล์ในจำนวนที่สามารถเอาไปแลกได้ "ตั๋วเครื่องบินไปกลับฮ่องกง 1 ใบ" ค่ะ ว้าวววว ฟังดูคุ้มเนาะ

       นอกจากนี้ยังมีหลายๆ สายการบินที่รวมเป็นเครือพันธมิตรด้วยกัน ซึ่งหากเราบินสายการบินใดในเครือพวกนี้ ก็สามารถเก็บสะสมไมล์ไว้ด้วยกันได้ค่ะ เช่น


      - เครือ Star Alliance มีทั้งหมด 28 สายการบิน(เยอะมากกก) เช่น สิงคโปร์แอร์ไลน์ การบินไทย แอร์แคนาดา อียิปต์แอร์ แอร์ไชน่า แอร์นิวซีแลนด์ ลูฟต์ฮันซา เป็นต้น

       - 
เครือ Skyteam มีทั้งหมด 15 สายการบิน เช่น โคเรียนแอร์ แอร์ฟรานซ์ เวียดนามแอร์ไลน์ เดลต้าแอร์ไลน์ เคนย่าแอร์เวย์ เป็นต้น

       - 
เครือ Oneworld มีทั้งหมด 11 สายการบิน เช่น เจแปนแอร์ไลน์ บริติชแอร์เวย์ ฟินน์แอร์ คาเธ่ย์แปซิฟิค เป็นต้น


       สมมติใครบินการไทยกับสิงคโปร์แอร์ไลน์บ่อยๆ ก็ควรต้องสมัครสมาชิกเครือ Star Alliance ไว้ ไม่งั้นเสียดายแย่เลยนะ 


ที่นั่งท้ายเครื่องปลอดภัยกว่าหน้าเครื่อง

      เวลาขึ้นเครื่องบิน คนส่วนมากจะชอบเลือกนั่งแถวหน้าๆ เพราะจะได้ลงจากเครื่องได้ไว แต่จริงๆ แล้ว ที่นั่งที่มีโอกาสรอดมากที่สุดในกรณีเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุคือ "ที่นั่งบริเวณท้ายเครื่อง" ค่ะ (ยกเว้นแต่ในกรณีเกิดอุบัติเหตุจากท้ายเครื่องนะ) 


         เคยมีเว็บไซต์ชื่อดังของอังกฤษเอาผลสำรวจมาเผยว่า ที่นั่งบริเวณแถวหน้าๆ ที่ทำเป็นสำหรับชั้น First Class และ Business Class นั้นอันตรายที่สุด หากเครื่องบินตกล่ะก็ แทบไม่มีโอกาสรอด แต่คนที่นั่งหลังๆ จะมีโอกาสรอดสูงกว่า ซึ่งจากผลสำรวจนี้ก็ทำเอายอดซื้อตั๋วที่นั่ง First Class และ Business Class ของชาวอังกฤษลดลงไปเป็นชั่วระยะเวลาหนึ่งเลยค่ะ แป่ว (เพราะแม้แต่ตัวพี่เองก็เลือกแต่ที่นั่งท้ายเครื่องตลอดตั้งแต่มีผลสำรวจนี้ออกมา ขอสบายใจไว้ก่อน)

      
 ผลสรุปคร่าวๆ คือ หากเกิดอุบัติเหตุ ที่นั่งบริเวณท้ายเครื่องจะมีโอกาสรอด 69% ที่นั่งบริเวณปีกเครื่องจะมีโอกาสรอด 56% และที่นั่งบริเวณหน้าเครื่องจะมีโอกาสรอดน้อยที่สุดคือ 49% ค่ะ


ที่นั่งตรงประตูทางออกฉุกเฉินสำคัญ!


       ประตูทางออกฉุกเฉินก็ไม่ต่างอะไรจากประตูวิเศษที่สามารถช่วยเราให้รอดชีวิตออกจากเครื่องบินเมื่อเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นเวลาก่อนจะขึ้นบิน ลูกเรือจะสาธิตอุปกรณ์ในการช่วยชีวิตรวมถึงจะย้ำเกี่ยวกับประตูทางออกฉุกเฉินด้วยว่าอยู่บริเวณใดบ้าง ซึ่งใครเกิดได้ที่นั่งตรงประตูทางออกฉุกเฉินนี่ก็ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายนะคะ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ก็จำเป็นต้องคุมสติตัวเองให้ดีกว่าคนอื่นๆ และหากลูกเรือได้รับบาดเจ็บไม่สามารถให้ความช่วยเหลือ คนที่นั่งติดกับทางออกฉุกเฉินนี่แหละค่ะที่จะต้องเป็นคนเปิดประตูนี้ออกและนำคนอื่นๆ ออกจากตัวเครื่อง ดังนั้นหากใครคิดว่าตัวเองนั้น....

- เคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว เชื่องช้า
- มีร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ เช่น สายตาผิดปกติ
- ไม่เข้าใจหรือไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีพอที่จะรับคำสั่งหรือออกคำสั่งจากผู้อื่น
- หรือคิดว่าตัวเองไม่พร้อมจะทำหน้าที่นี้


        ก็สามารถขอเปลี่ยนไปนั่งตำแหน่งอื่นได้ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเองและคนอื่นๆ บนเครื่องนั่นเองค่ะ




      

      

#ขอบคุณบทความดีๆจากเว็บ Dek-D ด้วยนะค่ะ




Wednesday, September 25, 2013

สารพัดวิธีทักทายภาษาอังกฤษอย่างเป็นกันเอง!


    ปัญหาคือ เด็กไทยจะถูกสอนให้ตอบคำถาม How are you today? ด้วย I’m fine thank you and you? (เสียงสูง) เสมอ ตั้งแต่สมัยเด็กประถมยันจบมัธยมเลยทีเดียว ราวกับว่าไม่มีวิธีอื่นในการทักทายเป็นภาษาอังกฤษอีกแล้ว
    เริ่มคุ้นหูกันแล้วใช่มั้ยค่ะ ที่จริงแล้วการถามคนอื่นว่า”สบายดีไหม” ก็ไม่ได้มีแต่ How are you? และการตอบว่า”สบายดี” ก็สามารถใช้ประโยคอื่นได้มากมายที่ไม่ใช่ I’m fine


    สำหรับการถามว่า สบายดีไหม นอกจาก How are you? ที่แสนจะเชยระเบิดแล้ว ยังสามารถใช้คำพวกนี้ได้ด้วย
1. What’s up? – ทักทายเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน
2. How’s it going? – สำหรับ “it” ในที่นี้หมายถึงชีวิตของเรา ถามแบบนี้จะประมาณว่า ชีวิตเราเป็นไงบ้าง
3. How was your day? - ใช้ได้กับผู้คนทุกเพศทุกวัย ถามว่าวันนี้เป็นไงบ้าง
ส่วนวิธีตอบ ขอแบ่งเป็นหมวดหมู่ตามอารมณ์นะค่ะ
1. สบายดี
Wonderful! / Fantastic! / Great! – ถ้าอารมณ์ดีสุดๆก็ตอบไปด้วยรอยยิ้มได้เลยครับ

Not bad
 – ใช้แล้วฟังดูดีกว่า I’m fine เพราะพูด fine เฉยๆอาจฟังเหมือนเราไม่อยากคุยต่อ 


Pretty good, thanks
 – เป็นภาษาพูดที่ฟังดูเป็นกันเองมากกว่า “Very well, thanks” ตามที่หนังสือพร่ำสอนเราอยู่เสมอ


Couldn’t be better
 – แปลว่า ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เราอาจเจอเรื่องดีสุดๆมาก็ได้
2. ก็ ok นะ
Nothing much – คำตอบสุดฮิต อาจเสริมต่อด้วยสิ่งที่น่าสนใจก็ได้ เช่น
“Nothing much. Just getting ready for my TOEIC test.”


Just the casual
 – ใช้ในกรณีที่เราทำสิ่งเดิมๆทุกวัน


Same old, same old
 – ใช้ตอนเราทำแต่เรื่องเดิมๆในแต่ละวัน แถมเราเริ่มเบื่อซะแล้วสิ
3. ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย
I’ve been better –  อาจใช้เมื่อตอนเรากำลังเจอเรื่องแย่ๆมา แล้วอยากหาคนระบายให้ฟัง

Not so great
 - ถ้าพูดแบบนี้แปลว่าเราไม่ค่อย happy นัก


Terrible / Bad
 – ใช้ตอนเรารู้สึกแย่สุดๆ แบบเจอมาหนักมาก

Speaking Tips – เวลาตอบสามารถเสริมด้วย You? หรือ How about you? ก็จะทำให้คู่สนทนารู้สึกดีขึ้นได้ แสดงว่าเราก็เอาใจใส่เค้าเหมือนกันนะ การถามกลับจะทำให้การสนทนาเกิดขึ้นต่อเนื่อง เช่น

A: Hi, Wendy. How’s it going?

B: Pretty good, thanks. I’m going to the theaters today. How about you?
A: Oh, you know. It’s same old, same old.
การทักทายเป็นภาษาอังกฤษหรือ casual greeting นั้นต้องรู้ไว้ครับ ไม่งั้นขืนเจอฝรั่งทักมา ตอบไปว่า I’m fine thank you and you? เชยสุดๆเลย


Friday, September 6, 2013

“สิ่งก่อสร้างสุดอัศจรรย์” จากฝีมือของสัตว์โลก!


เขื่อนยักษ์ของตัวบีเวอร์


      มีความเชื่อผิดๆ ที่ว่า กำแพงเมืองจีนสามารถมองเห็นได้จากอวกาศ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่สามารถมองเห็นได้ แต่สิ่งที่สามารถมองเห็นได้จากอวกาศก็คือ เขื่อนที่สร้างโดยตัวบีเวอร์ขนาด 2,790 ฟุต (850 เมตร) ที่ประเทศแคนาดา ต่างหาก


  มีความเชื่อผิดๆ ที่ว่า กำแพงเมืองจีนสามารถมองเห็นได้จากอวกาศ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่สามารถมองเห็นได้ แต่สิ่งที่สามารถมองเห็นได้จากอวกาศก็คือ เขื่อนที่สร้างโดยตัวบีเวอร์ขนาด 2,790 ฟุต (850 เมตร) ที่ประเทศแคนาดา ต่างหาก


  เขื่อนนี้โด่งดังขึ้นมาและกลายเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก ที่ต่างทึ่งกันว่าสัตว์ตัวเล็กๆ แบบนี้สร้างของใหญ่โตขนาดนั้นได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม ที่ตั้งของเขื่อนนี้อยู่ในส่วนที่ไม่สามารถเดินทางเข้าไปถึงได้ นักวิทยาศาสตร์จึงต้องศึกษาผ่านจากแค่ทางภาพถ่ายดาวเทียมไปก่อน



รังปลวกยักษ์



    รังปลวกในที่นี้ไม่ใช่ปลวกบ้านที่แอบซ่อนอยู่ตามบ้านเราแล้วแทะไม้ซะจนบ้านพรุนไปทั้งหลัง แต่เป็นปลวกในธรรมชาติที่สร้างรังเป็นของตัวเองขึ้นจากดิน โคลน เศษไม้ เป็นที่รู้กันว่ารังปลวกบางแห่งที่อยู่มานานจะมีขนาดใหญ่มาก แต่ รังปลวกที่สะวันนาในประเทศแอฟริกาใหญ่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยความสูงถึง 30 ฟุต (9 เมตร)


  ที่น่าทึ่งไม่ใช่แค่ขนาดใหญ่โตของรังปลวกนี้เท่านั้น แต่รังที่อยู่ภายในดินใต้จอมปลวกนี้ก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน ภายในมีการแบ่ง-ส่วนเป็นหลายๆ ห้อง เพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ต่างๆ กัน และเชื่อมต่อกันด้วยทางเดิน นอกจากนั้นยังมีสวนใต้ดินที่ใช้เพาะปลูกเห็ดราและไว้เก็บผลผลิต แค่ในรังนี้ก็มีครบทุกอย่างจนเหมือนเป็นเมืองสำหรับเหล่าปลวกเลยทีเดียว


  และที่น่าประทับใจอีกอย่างคือระบบระบายอากาศในรังปลวก ซึ่งจะมีการออกแบบช่องระบายอากาศเป็นอย่างดีทำให้อากาศในรังหมุนเวียนไปได้ทั่วทั้งหมด ถ้าเทียบกันแล้ว ในสมัยที่มนุษย์ยังสร้างบ้านด้วยโคลนกับเปลือกไม้ ปลวกก็สร้างบ้านที่มีระบบระบายอากาศตามธรรมชาติเป็นแล้ว สงสัยว่าถ้าวิวัฒนาการของปลวกยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อีกหน่อยมันอาจจะครองโลกแทนมนุษย์ก็ได้



คอนโดมิเนียมลอยฟ้าของนก Social Weaver


     Social weaver เป็นนกในตระกูลเดียวกับพวกนกกระจอก แต่ต่างกันที่มันเป็น นักสร้างรังมือหนึ่งที่สร้างรังได้ใหญ่ที่สุดในหมู่นกด้วยกัน รังที่สร้างขึ้นแบบถาวรนั้นมีนกอยู่อาศัยกว่า 100 ตัว และอยู่ต่อๆ กันมาหลายรุ่น มีกระทั่งห้องเสริมสำหรับให้นกสายพันธุ์อื่นๆ มาเช่าอยู่ด้วย


       รังนกนี้เทียบได้กับคอนโดมิเนียมของมนุษย์แต่สร้างขึ้นมาจากกิ่งไม้ทั้งหมด นกหนึ่งคู่จะอาศัยอยู่ใน 1 ห้อง ซึ่งใน 1 ห้องใหญ่นั้นก็จะแบ่งย่อยเป็นห้องเล็กๆ อยู่ลึกเข้าไปอีกที ห้องที่อยู่ลึกเข้าไปสามารถเก็บกักความร้อนได้ดีจึงใช้เป็นที่นอนในตอนกลางคืน ส่วนห้องด้านนอกๆ ซึ่งอากาศเย็นกว่าก็ใช้อยู่อาศัยในตอนกลางวัน


     นอกจากสร้างรังแล้ว นก Social weavers ก็ยังฉลาดพอที่จะสร้างกับดักจากไม้แหลมๆ เอาไว้ตรงปากทางเข้ารังเพื่อใช้ป้องกันงูโดยเฉพาะ อีกทั้งรังนี้น่าจะอยู่ได้อย่างสะดวกสบายมาก ขนาดที่เหยี่ยว Pygmy ซึ่งปกติแล้วเป็นสัตว์กินเนื้อก็ได้รับอนุญาตให้มาอาศัยอยู่ชั่วคราวได้ โดยเงื่อนไขที่ว่ามันต้องไม่ทำร้ายนก Social weavers เจ้าของรัง



คุกดินเหนียวของต่อหมาร่า


       หมาร่า หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Mud dauber เป็นสัตว์ที่คนกลัวแมงมุมทั้งหลายน่าจะชอบใจกัน เพราะมันไม่เพียงล่าแมงมุมเป็นอาหารเท่านั้น แต่มันยัง สร้างคุกขนาดใหญ่จากดินเหนียวเพื่อจองจำแมงมุมที่มันจับได้ อีกต่างหาก


   รังของหมาร่าจะมีช่องเล็กๆ หลายๆ ช่องเป็นเหมือนห้องขัง แต่ละห้องจะขังแมงมุมไว้ได้หลายตัว และถ้ารวมทั้งรังแล้วจะสามารถขังแมงมุมไว้ได้ถึงสองโหลเลยทีเดียว โดยที่แมงมุมเหล่านี้จะถูกทำให้เป็นอัมพาตก่อนเพื่อไม่ให้มันหนีออกมาได้










 มนุษย์อาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตฉลาดที่สุดในโลกที่สามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ได้มากมาย แต่บางครั้งเราก็ยังสู้ความสามารถตามธรรมชาติของสัตว์ไม่ได้ และนี่คือ สิ่งก่อสร้างสุดอัศจรรย์จากฝีมือของสัตว์โลก ที่แม้แต่มนุษย์อย่างเราก็คงเลียนแบบไม่ได้







#ขอบคุณบทความดีๆจากเว็บ Dek-D ด้วยนะค่ะ







Sunday, September 1, 2013

ภาษาอังกฤษแค่รู้หลัก ก็รุ่งแล้ว!




     .....วันนี้ดิฉันได้ไปเจอคลิปวีดีโอที่รู้สึกว่าได้ความรู้และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้   และในฐานะที่ดิฉันก็เป็นคนหนึ่งที่พยายามฝึกฝนภาษาอังกฤษของตัวเองอยู่ ดิฉันเลยหวังว่าคลิปวีดีโอนี้จะสามารถช่วยแนะแนวทางได้ไม่มากก็น้อย  และยังมีคลิปอื่นๆอีกมากมายที่เหมาะสมสำหรับคนที่ต้องการเรียนรู้ในระยะเวลาอันสั้นด้วยค่ะ.....




                                                 "เทคนิคง่ายๆในการออกเสียงภาษาอังกฤษให้ชัด"







                                                                               "การออกเสียง "Ch" and "Sh"








                                                        "10 นิสัยคนอเมริกันที่คนไทยอาจจะไม่ชิน"









                           นี้ก็แค่ตัวอย่างเรียกน้ำย่อยนะค่ะ  ถ้าอยากศึกษาให้มากกว่านี้ ตามชื่อช่องใน youtube ได้เลยค่ะ   http://www.youtube.com/channel/UCpbB8LHOqFkHU3C22r_BJLQ/videos  #ขออนุญาติเจ้าของคลิปไปเลยในตัวนะค่ะ ^^

ศัพท์ฝรั่งเศสที่ต้องใช้ ท่องไว้ก่อนไปบ้านคนอื่น!


ยินดีต้อนรับ :)



  ในภาษาฝรั่งเศสมีประโยคมากมายที่เอาไว้ใช้พูดต้อนรับเวลาที่มีแขกมาบ้าน รวมถึง Bienvenue à la Maison (เบียงเฟอนู อา ลา เมซง) แปลก็ตรงตัวเลยค่ะ ยินดีต้อนรับสู่บ้าน(ของเรา) ดังนั้นถ้าได้ยินประโยคนี้ล่ะก็ อย่าลืมยิ้มกว้างๆ ให้เจ้าบ้านด้วย


ในห้องครัว :)


    เมื่อเข้ามาถึงในห้องครัว ก็ต้องใช้ประโยคที่เกี่ยวกับอาหารการกินล่ะ ซึ่งประโยคที่เราได้ยินบ่อยๆ ได้แก่

Mangez bien, riez souvent, aimez beaucoup (มองเช่ เบียง คีเอซ์ ซูวอง แอมเม่ โบกู) ถ้าแปลเป็นภาษาอังกฤษก็จะแปลว่า Eat well, love much, laugh often ค่ะ ส่วนแปลเป็นภาษาไทยนั้นอาจจะฟังดูแปลกๆ เลยไม่ขอแปลดีกว่า 555

La vie est trop courte pour boire du mauvais vin (ลา วี เอ ทร่อ กูร์ท ปูร์ บัว ดู โมเว แวง) หรือ Life is too short to drink bad wine หรือ ชีวิตสั้นเกินไปที่จะมัวมาดื่มไวน์ที่รสชาติแย่ นั่นก็เพราะว่าคนฝรั่งเศสมักมีไวน์รสชาติดีอยู่บนโต๊ะพร้อมกับอาหารด้วยเสมอ


ในร้านอาหาร :)


    คงไม่ต้องพูดถึงการบริการที่ยอดเยี่ยมในร้านอาหารฝรั่งเศส เพราะอาหารก็ขึ้นชื่อระดับโลก ดังนั้นการบริการก็ไม่ได้น้อยหน้ากันเลย ในร้านอาหาร เรามักได้ยินบริกรถามเราว่า Qu'est-ce que je vous sers? (แกทส์ เกอ เชอ วู แซ) นั่นหมายถึง "จะรับอะไรดีคะ/ครับ?"

    นอกจากนี้ เวลาอ่านเมนู เราอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ เจ้าเมนูนี้มันคืออะไรหรือปรุงด้วยวิธีไหน ดังนั้นศัพท์เบื้องต้นที่น้องๆ ควรรู้คือ

faire cuire au four คือการอบ
faire cuire sur le gril คือการย่าง เดาได้จากคำว่า gril ที่หมายถึง grill ในภาษาอังกฤษนั่นเอง
faire frire คือการทอดนั่นเอง หรือบางทีอาจจะใช้คำว่า frit แทนค่ะ









       .....นั่นก็คือประโยคเบื้องต้นเบสิคๆ ที่น้องๆ ที่สนใจภาษาฝรั่งเศสควรรู้เอาไว้นะคะ......